อุดมการณ์ “ชาตินิยมอาหรับ” (Arab Nationalism) ถือเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเมืองของโลกอาหรับนับตั้งแต่ยุคอาณานิคมในตะวันออกกลางจนถึงปัจจุบัน ชาวอาหรับจำนวนไม่น้อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในเมือง) มีความรู้สึกสำนึกในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่เรียกว่า “ชาติอาหรับ” (Arab Nation: al Ummah al-Arabiyya) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งอย่างเป็นทางการมากขึ้นว่า “อัล-เกาม์มียะห์ อัล-อะรอบียะห์” (al-Qawmmiyya al- Arabiyya)
คำว่า “Mandate” หรือที่ภาษาไทยเราใช้คำว่า “อาณัติ” นั้น หมายถึงอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากสันนิบาตชาติ (League of Nations) ให้ชาติสมาชิกปกครองดูแลดินแดนอาณานิคมเดิมหรือดินแดนที่พิชิตได้อื่น ๆ โดยเรียกดินแดนเหล่านี้ว่า “ดินแดนใต้อาณัติ” (Mandate territory)
ฝรั่งเศสแยกพื้นที่ส่วนหนึ่งจากดินแดนในซีเรียออกมาจัดตั้ง เลบานอนใหญ่ (Greater Lebanon) ในปี ค.ศ. 1920 ตามข้อตกลงไซคส์ - พิโกต์ที่ทำไว้กับอังกฤษ เลบานอนไม่เคยเป็นรัฐที่มีอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมันที่ประกอบไปด้วยชาวคริสเตียนมาโรไนต์เป็นส่วนใหญ่ และชาวอาหรับมุสลิมเป็นส่วนน้อย
คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) ซึ่งมีชื่อเรียกตามชื่อของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น คือ เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Sir Arthur James Balfour) ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษให้ความเห็นชอบในการตั้งถิ่นฐานสำหรับชาวยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ คำแถลงการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การอพยพของชาวยิวจากยุโรปตะวันออกและรัสเซีย มาสู่ดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติของอังกฤษ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับอาณาเขตดินแดนภายในอาณาจักรออตโตมันกับหลายฝ่าย ถึงแม้ว่าทุกข้อตกลงจะมีจุดร่วมเหมือนกันคือการแบ่งแยกดินแดนภายในอาณาจักรออตโตมันเดิม ทว่าแต่ละชาติต่างไม่ลงรอยกันในเรื่องของรูปแบบของการปกครองพื้นที่ดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากกรณีของการตัดสินเรื่องดินแดนในปาเลสไตน์ว่าจะให้ฝ่ายใดครอบครอง
หลายคนถามถึงต้นตอของความวุ่นวายในตะวันออกกลาง แต่คำถามอย่างนี้มันกว้าง และสามารถตอบได้หลายแนวทาง ถึงอย่างนั้น ผมอยากเสนอภาพของตะวันออกกลางในยุคอาณานิคมและการกำเนิดรัฐสมัยใหม่เพื่อสะท้อนให้เห็นรากฐานปัญหาที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเนื่ิองต่อตะวันออกกลางและโลกมาจนถึงวันนี้