ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์และกลุ่มชนนับเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปขององค์กรทางสังคมในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีที่กลุ่มชนต่าง ๆ เหล่านั้นถูกกำหนดลักษณะโดยอาศัยอัตลักษณ์ทางศาสนา ก่อนที่อาณาจักรออตโตมันจะล่มสลายและก่อนที่อุดมการณ์ชาตินิยมสมัยใหม่จะเติบโตขึ้น
วิถีที่แตกต่างจากผู้คนตามชนบทและเมืองคือ พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ (nomadic pastoralists) ซึ่งประกอบขึ้นเป็นชนกลุ่มน้อยของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค (ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21
นักโบราณคดีที่ทำงานในพื้นที่ตะวันออกกลางได้ค้นพบหลักฐานมากมายที่สามารถสืบย้อนอดีตกลับไปไกลได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่การเริ่มต้นตั้งหลักปักฐานของมนุษย์ที่ย้อนกลับไปไกลได้ถึงยุค “นิโอลิทิค” (Neolithic) หรือ “ยุคหินใหม่” จากร่องรอยที่ปรากฏอย่างกระจัดกระจายตามแถบเทือกเขาในประเทศอิรัก อิหร่าน และดินแดนปาเลสไตน์...
คำว่า “ตะวันออกกลาง (Middle East)” เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในปัจจุบัน อันหมายถึงดินแดนที่ขยายยื่นออกไปจากมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตกจนถึงดินแดนบางส่วนของประเทศอัฟกานิสถานทางทิศตะวันออก ซึ่งมีความยาวกว่า 5,600 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยประชากรมากกว่า 400 ล้านคน
ในวันที่ 13 มีนาคม 2002 สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติที่ 1397 พูดถึง “วิสัยทัศน์ของภูมิภาคที่จะมี 2 รัฐ (อิสราเอลกับปาเลสไตน์) อยู่ร่วมกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ภายในพรมแดนที่มีการรับรองและมีความปลอดภัย” สหประชาชาติบอกว่า มีเพียงแนวทางนี้เท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูสันติภาพทั้งในปาเลสไตน์และในอิสราเอล
มีเพื่อนคนไทยหลายคนถามเข้ามาว่าทำไมโลกมุสลิมส่วนใหญ่จึงรีบปฏิเสธแผนสันติภาพตะวันออกกลาง หรือที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า "ข้อตกลงแห่งศตวรรษ" หรือ Deal of the Century (ซึ่งนำเสนอโดยประธานาธิปดีสหรัฐฯคนล่าสุด) ทั้ง ๆ ที่เป็นความพยายามที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งที่เกิดขึ้นมายาวนานเป็นร้อย ๆ ปี