#GazaNakba2024

#GazaNakba2024

โดย ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ

พวกเราคงลืมไปแล้วว่า เรามิได้เข้ามาในดินแดนที่เวิ้งว้างว่างเปล่า แล้วจับจองสืบทอดมัน แต่พวกเราเข้ามาพิชิตดินแดนประเทศที่มีกลุ่มคนอาศัยอยู่ก่อนหน้าแล้ว” Moshe Sharett รองนายกรัฐมนตรีอิสราเอล (1953-1955)

15 พฤษภาคมเป็นวันที่ชาวปาเลสไตน์ทั่วโลกต่างรำลึกถึง “วันแห่งความหายนะ”

ย้อนกลับไปเมื่อ 76 ปีที่แล้วใน ค.ศ. 1948 สงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกก่อผลให้ชาวปาเลสไตน์ต้องถูกบีบให้หนีออกจากแผ่นดินเกิดประมาณ 720,000-750,000 คน กลายเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยที่ทุกวันนี้ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ชาวปาเลสไตน์เรียกเหตุการณ์นี้ในภาษาอาหรับว่า “นักบะฮ์” (NAKBA) หรือหายนะครั้งใหญ่ อันเป็นปัญหาผู้ลี้ภัยที่ต่อมากลายเป็นหนึ่งในอุปสรรคขัดขวางกระบวนการเจรจาสันติภาพตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ตลอดมา

ปาเลสไตน์และอิสราเอลต่างจดจำวิกฤติผู้ลี้ภัยครั้งนั้นในมุมที่ต่างกัน สำหรับปาเลสไตน์แล้ว มูลเหตุอันนำไปสู่วิกฤติดังกล่าวเกิดจากการบีบบังคับขับไล่ การสร้างความหวาดกลัว การยึดครองที่ดิน และการทำลายบ้านเรือนของพวกเขาที่กระทำอย่างเป็นระบบโดยกลุ่มติดอาวุธชาวยิว

ในทางตรงข้าม อิสราเอลกลับพยายามสื่อสารให้โลกเข้าใจว่า มันเป็นผลอันสืบเนื่องมาจากความพ่ายแพ้ในสงครามของชาติอาหรับ โดยชาวปาเลสไตน์สมัครใจออกไปจากบ้านเกิดเอง

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือหลังสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกในปี 1948 ชาวยิวขณะนั้น ซึ่งมีประชากรแค่ร้อยละ 30 (ส่วนใหญ่อพยพมาจากยุโรป) และถือครองที่ดินเพียงแค่ร้อยละ 7 สามารถจัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นมาได้โดยยึดครองดินแดนเดิมของชาวปาเลสไตน์ถึงร้อยละ 78 ที่เหลืออีกร้อยละ 22 (ดินแดนตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank) กาซ่า และเยรูซาเล็มตะวันออก) ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ต่อไป

แต่พอเกิดสงครามในปี 1967 ซึ่งเป็นสงครามที่อิสราเอลชนะฝ่ายอาหรับอย่างรวดเร็วภายใน 6 วัน อิสราเอลก็ยึดครองดินแดนต่างๆ ของชาติอาหรับ รวมถึงดินแดนที่เหลืออีกร้อยละ 22 ของชาวปาเลสไตน์ด้วย ก่อให้เกิดคลื่นผู้อพยพลี้ภัยของชาวปาเลสไตน์อีกระลอก

วันนี้ชาวปาเลสไตน์แทบทั้งหมดจึงกลายเป็นคนไร้รัฐ หากไม่เป็นผู้ลี้ภัยที่กระจัดกระจายอยู่ภายนอกดินแดนบ้านเกิดของตนเอง ก็เป็นคนพลัดถิ่นในบ้านเมืองที่เคยเป็นของตนเอง ตามตัวเลข ขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2022 ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่มีการลงทะเบียนเอาไว้มีอยู่มากถึง 5.9 ล้านคน แต่ถ้ารวมเอาคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนด้วย เขาสรุปตัวเลขจากการสำรวจออกมาคร่าวๆ ว่าน่าจะมากกว่า 7.5 ล้านคน

หากพิจารณาจากกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้มีสิทธิที่จะกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง ได้รับทรัพย์สินที่เคยเป็นเจ้าของกลับคืน และได้ค่าชดเชยความเสียหาย

สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติได้วางกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์เอาไว้ในมติที่ 194 (III) โดยระบุรายละเอียดในเรื่อง การส่งผู้ลี้ภัยกลับสู่ถิ่นเดิมหากพวกเขาประสงค์ และอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ หรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ผู้ลี้ภัยไม่ต้องการกลับ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1974 องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่ 3236 อธิบายสิทธิในการกลับสู่ถิ่นฐานของผู้ลี้ภัยว่าเป็น ‘สิทธิที่แบ่งแยกมิได้’ (Inalienable right) ขณะเดียวกัน เพื่อดำเนินงานตามมติที่ 302 (IV) สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจึงได้จัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า United Nation Relief and Works Agency (UNRWA) ขึ้นมา ปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์

UNRWA ให้นิยามผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ว่า คือบุคคลที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลในปี 1948 อย่างน้อย 2 ปี และเป็นบุคคลที่ต้องสูญเสียบ้านเรือนและวิถีการดำรงชีวิตอันเป็นผลมาจากสงครามครั้งนั้น

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 7.5 ล้านคน ต่างเรียกร้องสิทธิของการกลับคืนถิ่นของตนเองตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งกฎหมายด้านมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนที่ให้ความชอบธรรมในเรื่องนี้เอาไว้

ขณะที่มติ 194 ของสหประชาชาติในปี 1948 ดังที่ระบุไว้ข้างต้น ก็รับรองสิทธิของปาเลสไตน์ให้สามารถกลับคืนถิ่นหรือได้รับการชดเชยค่าเสียหาย แต่อิสราเอลก็ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์มาตลอด โดยให้เหตุผลไว้ 3 ประการคือ

1. ในอิสราเอลมีพื้นที่คับแคบอยู่แล้ว จึงไม่มีที่ว่างสำหรับผู้อพยพชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก

2. การกลับมาของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จะนำไปสู่ภัยคุกคามด้านความมั่นคงของอิสราเอล อันจะนำ ไปสู่ความขัดแย้ง

3. หากผู้ลี้ภัยได้กลับมาก็จะทำให้อิสราเอลไม่สามารถดำรงอยู่เป็นรัฐยิวได้ (เพราะคนส่วนใหญ่จะเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ในทันที)

ด้วยเหตุนี้ เวลามีการเจรจาสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลขึ้นเมื่อใด ปัญหาผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ก็จะกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่รู้จะแก้ปัญหากันอย่างไร

แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลของอิสราเอลในข้อแรกแล้วย้อนกลับมาดูผลการวิจัยก็จะพบว่า ประชากรชาวยิวกว่าร้อยละ 80 ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในดินแดนที่เป็นของปาเลสไตน์เดิมเพียงแค่ร้อยละ15 ซึ่งหมายความว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ถูกรื้อถอนไปยังคงเป็นที่ดินที่ไร้ผู้อยู่อาศัย

ด้วยเหตุนี้ การอ้างเรื่องไม่มีพื้นที่เพียงพอจึงไม่สมเหตุผล

ส่วนในประเด็นข้อห่วงกังวลเรื่องความมั่นคงนั้น ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ได้ให้คำมั่นมาตลอดว่า การกลับมาของพวกเขาไม่ได้หมายถึงการขับไล่ชาวยิวออกจากพื้นที่ที่อยู่ปัจจุบัน แต่การกลับมาของพวกเขาจะตั้งอยู่บนหลักการของความเท่าเทียมและกรอบสิทธิมนุษยชน

สำหรับข้ออ้างสุดท้ายนั้น ทำให้การอ้างของอิสราเอลว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยหนึ่งเดียวในตะวันออกกลางไม่เป็นความจริง เพราะเป็นประเทศที่มีพื้นที่สาธารณะเอาไว้เฉพาะสำหรับชาวยิวเท่านั้น

สรุปก็คือ ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ได้ตกระกำลำบากมาเป็นเวลา 76 ปีแล้ว พวกเขาอยู่แต่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย (มีเฉพาะบางส่วนที่ได้รับสัญชาติจากประเทศปลายทาง เช่น จอร์แดน) ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มองไม่เห็นโอกาสและอนาคต และต่างรอคอยวันที่จะได้กลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี จึงเป็นวันที่ชาวปาเลสไตน์ทั่วโลกต่างรำลึกถึงความหายนะหรือ ‘นักบะฮ์’ ของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่เน้นแนวทางสันติวิธี

เป้าหมายคือ การเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด เรียกร้องความยุติธรรมจากการที่ต้องถูกขับไล่และถูกกระทำ และเรียกร้องอิสรภาพที่ขาดหายไปให้กลับคืนมา

แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเวลาทอดยาวออกไปเป้าหมายของพวกเขาก็ยิ่งเลือนลาง โดยเฉพาะวิกฤตสงครามล่าสุดในกาซ่า ซึ่งส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ต้องถูกกวาดล้างเข่นฆ่า มีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

เมื่อมีนักข่าวไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรอิสราเอลว่าสงครามในกาซ่าจะจบอย่างไร เขาก็ตอบว่า “Gaza Nakba 2023. That’s how it’ll end.