ตะวันออกกลางยุคอาณานิคมและการก่อเกิดรัฐสมัยใหม่ ตอนที่ 3
เขียนโดย ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปาเลสไตน์ในอาณัติอังกฤษ (British Mandate of Palestine)

British General Edmund Allenby entering Jerusalem in 1917. (Wikimedia Commons)
คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) ซึ่งมีชื่อเรียกตามชื่อของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น คือ เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Sir Arthur James Balfour) ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษให้ความเห็นชอบในการตั้งถิ่นฐานสำหรับชาวยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ คำแถลงการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การอพยพของชาวยิวจากยุโรปตะวันออกและรัสเซีย มาสู่ดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติของอังกฤษ
ตั้งแต่ ค.ศ. 1882 – ค.ศ. 1939 อังกฤษได้ออกมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้คลื่นผู้อพยพชาวยิว (Aliyah) ได้เข้ามาในแผ่นดินปาเลสไตน์แบบไม่จำกัดจำนวน รวมกันทั้งสิ้น ๕ ครั้ง แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาคือรัฐบาลอังกฤษสนับสนุนองค์กรยิวไซออนิสต์ (Zionist Organization) ให้จัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์ โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับชาวอาหรับเจ้าของดินแดนแต่ประการใดทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ประชากรภายในดินแดนปาเลสไตน์ในขณะนั้นยังประกอบไปด้วยชาวอาหรับมุสลิมร้อยละ 85 ซึ่งครอบครองดินแดนถึงร้อยละ 90 ส่วนชาวคริสเตียนและยิวรวมกันเป็นร้อยละ 9 ซึ่งครอบครองดินแดนส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10
การอพยพของชาวยิวที่เพิ่มมากขึ้นได้ทำให้สัดส่วนของการครอบครองที่ดินเปลี่ยนไป นำไปสู่การแก่งแย่งพื้นที่ในดินแดนปาเลสไตน์ และความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชุมชนอาหรับท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้ ชาวอาหรับปาเลสไตน์จึงก่อจลาจลขึ้นต่อต้านการอพยพเข้ามาของชาวยิวในช่วง ค.ศ. 1919 – 1921
หลังอังกฤษประกาศแผนของ Peel Commission แบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์โดยให้ส่วนหนึ่งเป็นของยิว และอีกส่วนเป็นของชาวอาหรับปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์จึงเริ่มประท้วงเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและเศรษฐกิจ พร้อมทั้งต่อต้านการอพยพเข้ามาของชาวต่างชาติ โดยหันมาใช้วิธีก่อจลาจลต่อต้านตำรวจอังกฤษ ทหาร และชาวยิวแทน
อาจกล่าวได้ว่า การรับรองของขบวนการไซออนนิสต์ หรือ ขบวนการชาตินิยมยิวโดยอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1917 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างอาหรับและอิสราเอล
ความขัดแย้งดังกล่าวดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักรของความรุนแรงที่เริ่มเข้มข้นและขยายวงกว้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ซีเรียในอาณัติฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสได้รับมอบดินแดนซีเรียจากอังกฤษซึ่งถอนตัวออกไปในปี ค.ศ. 1919 และปกครองซีเรียในอาณัติตั้งแต่ ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา การที่ฝรั่งเศสเข้าครอบครองซีเรียนั้นขัดต่อความต้องการของสภาแห่งชาติซีเรีย (The Syrian National Congress) ที่ระบุไว้ในบันทึกของคณะกรรมการคิง-เครน (The King-Crane Commission) ว่าต้องการให้อะมีรไฟซอลเป็นผู้ปกครองซีเรียในระบบกษัตริย์ และให้สหรัฐอเมริกาได้รับมอบอาณัติดินแดนซีเรียจนกว่าจะสามารถปกครองตนเองได้อย่างอิสระ มิใช่ฝรั่งเศส

สภาแห่งชาติซีเรีย (The Syrian National Congress)
กระแสกบฏต่อต้านเจ้าอาณัติฝรั่งเศสจึงปะทุขึ้นอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1920 – 1923
การปกครองดินแดนซีเรียใต้อาณัติของฝรั่งเศสประสบปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มากมาย จนรัฐบาลฝรั่งเศสปราบปรามขบวนการชาตินิยมซีเรียด้วยวิธีการแบ่งแยกและปกครอง (divide and rule) โดยแบ่งซีเรียออกเป็น ๔ รัฐย่อย ได้แก่ ดามัสกัส (Damascus) อเล็ปโป (Aleppo) อลาไวต์ (Alawites) ญาบัล-ดรูซ (Jabal Druze) และเลบานอน (Lebanon) โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องถิ่นปกครองในนามของฝรั่งเศส
การแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองของฝรั่งเศสนี้แบ่งตามความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ และศาสนาของประชากรในซีเรีย ซึ่งนอกจากจะบั่นทอนพลังรวมตัวต่อต้านฝรั่งเศสของชาวซีเรียลงแล้ว ยังป้องกันการแผ่ขยายอิทธิพลของแนวคิดชาตินิยมอาหรับ (Arab Nationalism) ซึ่งฝรั่งเศสมองว่าเป็นสิ่งท้าทายอำนาจการปกครองและความเป็นอยู่ของชุมชนชาวคริสต์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม เช่น ชาวดรูซ และ ชาวอลาไวต์ เป็นต้น
การปกครองในลักษณะดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อกีดกันมิให้กลุ่มขบวนการชาตินิยมซีเรียมีโอกาสแผ่ขยายอิทธิพลและสร้างฐานสนับสนุนในเขตพื้นที่หรือรัฐอื่นๆนอกเหนือจากดามัสกัส อเล็ปโป ฮามา และฮอมส์ได้ ผลกระทบที่ตามมาคือ ชนกลุ่มน้อยในเชิงศาสนาและชาติพันธุ์ในซีเรีย เช่น ชาวเคิร์ด อาร์เมเนียน ยิว และคริสต์ต่างไม่สามารถรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้
อย่างไรก็ตาม แม้ชาวอลาไวต์และดรูซจะมีพลังรวมตัวทางการเมืองอย่างแนบแน่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฝรั่งเศสก็รวมสองกลุ่มชนนี้เข้ากับรัฐซีเรียภายหลังระบบอาณัติสิ้นสุดลง ระบบการปกครองดินแดนซีเรียใต้อาณัติของฝรั่งเศสจึงไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางชาติพันธุ์และศาสนาของประชากรในซีเรีย
แต่ยังได้กลายเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในรัฐซีเรียในเวลาต่อมาอีกด้วย